กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร ใครจ่ายบ้าง เช็กหลักเกณฑ์ที่ต้องรู้

ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ จะเป็นวันแรกที่มีการบังคับใช้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กับบริษัทที่มีลูกจ้างเกิน 10 คนแต่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งจะส่งผลต่อลูกจ้างนับล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งวันนี้ เราได้รวบรวมทุกข้อมูลของ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าคืออะไร แตกต่างจากประกันสังคมอย่างไร รวมไปถึงแนวทางปฏิบัติทั้งตัวนายจ้างและลูกจ้างมาฝากกัน

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คือ กองทุนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน และสงเคราะห์ลูกจ้างที่ขาดรายได้ในทุกกรณี หรือเสียชีวิต อาทิ ลาออกจากงาน ถูกไล่ออกจากงาน เกษียณอายุ สิ้นสุดสัญญาจ้าง ถูกยกเลิกสัญญาจ้าง ลูกจ้างต้องหยุดงานจากการเจ็บป่วย ไม่ว่าอุบัติเหตุนั้นจะเกิดในหรือนอกเวลางาน รวมไปถึงกรณีที่นายจ้างขาดทุน ล้มละลาย ควบรวมกิจการ เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และทำให้นายจ้างมีเหตุต้องเลิกจ้าง ลูกจ้างก็มีสิทธิ์ได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เช่นกัน

นอกจากนี้ ในกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างแล้วไม่ได้รับค่าชดเชยจากเงินอื่น ๆ ไม่ว่ากรณีนั้นฝั่ งลูกจ้างจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ลูกจ้างก็มีสิทธิ์รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างก่อน และเมื่อกองทุนจ่ายเงินไปก่อนแล้ว กองทุนก็มีสิทธิ์ไล่เบี้ยเรียกเงินคืนจากนายจ้างพร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 15% ต่อปีอีกด้วย

กองทุนสงเคราะห์ จะจ่ายเงินให้ลูกจ้างในกรณีใดบ้าง

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจะจ่ายเงินให้กับลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างไม่มีรายได้ในทุกกรณี ทั้งในส่วนของเงินสะสมของลูกจ้างและเงินสมทบของนายจ้าง พร้อมทั้งดอกผล ดังนี้

  1. กรณีเลิกจ้าง
  2. กรณีลาออก
  3. กรณีไล่ออก
  4. กรณีเกษียณอายุ
  5. กรณีลูกจ้างตกลงยกเลิกสัญญา
  6. กรณีลูกจ้างถูกบอกเลิกสัญญา
  7. กรณีเสียชีวิต

วิธีขอเงินคืนจาก กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

  • กรณีสิ้นสุดการเลิกจ้าง จะมีการคืนเงินสะสมและเงินสมทบพร้อมดอกผลให้แก่ลูกจ้าง โดยที่นายจ้างต้องออกหนังสือยืนยันการสิ้นสภาพลูกจ้าง และคืนบัญชีเงินฝากพร้อมเงินสะสมสมและเงินสมทบให้ลูกจ้าง ซึ่งนายจ้างต้องดำเนินการภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่สิ้นสภาพการจ้างงาน 
  • กรณีเสียชีวิต เงินของลูกจ้างจ้างจะตกเป็นของบุคคลที่ลูกจ้างระบุเอาไว้ในแบบหนังสือกำหนดบุคคลที่พึงได้รับเงินจากกองทุนฯ แต่หากลูกจ้างไม่ได้กำหนดผู้รับผลประโยชน์ เงินจะตกเป็นของ บุตร คู่สมรส บิดา มารดา ที่มีชีวิตอยู่ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน แต่หากไม่มีผู้รับอีก เงินก็จะตกเป็นของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 

เริ่มจัดเก็บเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตอนไหน

มีการกำหนดให้เริ่มเก็บเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

  • ในช่วง 5 ปีแรก (1 ตุลาคม 2568-30 กันยายน 2573) จะให้ลูกจ้างส่งเงินสะสม 0.25% ของค่าจ้างรวมกับเงินสมทบของนายจ้างอีก 0.25%
  • นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป จะให้ลูกจ้างส่งเงินสะสม 0.50% ของค่าจ้าง รวมกับเงินสมทบของนายจ้างอีก 0.50%

เงื่อนไขกิจการที่ต้องเข้ามาเป็นสมาชิก กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

  1. กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
  2. กิจการไม่ได้มีการทำกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมาย เช่น ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่มีกองทุนสงเคราะห์ในบริษัทให้แก่ลูกจ้างที่ออกจากงานหรือเสียชีวิต
  3. กรณีที่กิจการนั้นมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่มีลูกจ้างที่ยังไม่ผ่านการทดลองงาน หรือลูกจ้างที่ไม่ประสงค์เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นายจ้างต้องให้ลูกจ้างรายนั้นเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

เงื่อนไขกิจการไม่ที่ต้องเข้ามาเป็นสมาชิก กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

  • กิจการที่มีลูกจ้างไม่ถึง 10 คน
  • กิจการที่นายจ้างจัดให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • กิจการที่นายจ้างจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์อื่น ๆ กรณีลูกจ้างลาออกหรือตาย
  • กิจการที่ไม่เข้าข่ายบังคับ อาทิ งานเกษตร งานประมง งานรับใช้ในบ้านที่มิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย กิจการที่ไม่แสวงหากำไร กิจการโรงเรียนเอกชน เฉพาะผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา
  • กฎหมายไม่ได้บังคับให้กิจการเหล่านี้ต้องเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แต่หากลูกจ้างต้องการสมัครใจเป็นสมาชิกเอง ให้นานจ้างยื่นแบบ สกล.3/1 เพื่อขอขึ้นทะเบียนได้

ตัวอย่าง

  • บริษัทกอไก่ มีพนักงานทั้งหมด 150 คน บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่มีพนักงานที่เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 100 คน และอีก 50 คน ไม่เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในกรณีนี้ บริษัทกอไก่ ต้องจัดให้พนักงานที่เหลือ 50 คนที่ไม่เข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายนี้
  • บริษัทขอไข่ มีพนักงานทั้งหมด 150 คน บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่มีพนักงานที่เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 145 คน และอีก 5 คน ไม่เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในกรณีนี้ บริษัทขอไข่ ต้องจัดให้พนักงานที่เหลือ 5 คนที่ไม่เข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายนี้
  • บริษัทงองู มีพนักงานทั้งหมด 5 คน ดังนั้น บริษัทงองู ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ยกเว้นแต่มีพนักงานในบริษัทงองู ประสงค์ที่จะเข้าร่วม และทางบริษัทยินยอม ก็สามารถเข้าร่วมได้

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แตกต่างจากประกันสังคมอย่างไร

  • กิจการ : กิจการที่ทำประกันสังคมนั้น ต้องมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ส่วนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ต้องมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คน
  • เงินสมทบของลูกจ้างและนายจ้าง ประกันสังคมให้ลูกจ้างสมทบ 5% ของค่าจ้าง นายจ้างก็สมทบ 5% เช่นกัน และรัฐบาลจะสมทบเงินให้เพิ่ม 2.75% โดยการใช้ฐานคำนวณที่ค่าจ้างขั้นต่ำสุดเดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดเดือนละ 15,000 บาท ในขณะที่กองทุนเงินงเคราะห์ลูกจ้างนั้น ลูกจ้างจะสมทบที่ 0.25% และนายจ้างจะสมทบที่ 0.25% โดยสูงสุดที่ไม่เกินฝ่ายละ 5% ของค่าจ้าง
  • สิทธิประโยชน์ : ประกันสังคมจะมีสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ ทั้งการรักษาพยาบาล ทุพพลภาพ ตาย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร เกษียณอายุ และว่างงาน โดยการได้รับเงินนั้นจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ เช่น หากต้องการรับเงินในกรณีว่างงาน ลูกจ้างต้องส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนในระยะ 15 เดือนก่อนว่างงาน หากลาออกเองจะได้รับเงินทดแทน 30% ของค่าจ้างครั้งละไม่เกิน 90 วัน แต่ในส่วนของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนั้น จะได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะเมื่อลูกจ้างไม่มีรายได้ในทุกกรณี และการเสียชีวิต และการรับเงินจากกองทุนนั้น ลูกจ้างจะได้รับทั้งเงินสะสมของลูกจ้าง เงินสมทบของนายจ้าง และดอกผลของเงินสมทบและเงินสะสม โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม
  • ระบบ : ทั้งกองทุนประกันสังคมและกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นระบบบังคับทั้งคู่ แต่ประกันสังคมบริหารโดยคณะกรรมการประกันสังคม ในขณะที่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง บริหารงานโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไร

  • กิจการ : กิจการที่ทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ต้องมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ส่วนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ต้องมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คน
  • เงินสมทบของลูกจ้างและนายจ้าง : กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะมีการหักเงินสะสมของลูกจ้าง และนายจ้างจะสมทบให้ในอัตราไม่ต่ำกว่า 2% แต่ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง ส่วนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ลูกจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบ 0.25% และนายจ้างจะจ่ายเงินสมทบอีก 0.25%
  • สิทธิประโยชน์ : กองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์ก็ต่อเมื่อออกจากงาน ออกจากกองทุน ปิดกองทุน เสียชีวิต หรือความเป็นสมาชิกของกองทุนสิ้นสุด โดยที่มีเงื่อนไขตามข้อบังคับของกองทุน เช่น หากลูกจ้างออกจากกองทุนแล้ว ในส่วนเงินสะสมของลูกจ้างและดอกผล ลูกจ้างสามารถรับได้เต็มจำนวน แต่ในส่วนเงินสมทบและดอกผลของนายจ้าง ลูกจ้างจะได้เยอะหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับอายุงานที่อยู่กับบริษัท แต่ในส่วนของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนั้น ลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์เมื่อลูกจ้างไม่มีรายได้ในทุกกรณี และการเสียชีวิต และการรับเงินจากกองทุนนั้น ลูกจ้างจะได้รับทั้งเงินสะสมของลูกจ้าง เงินสมทบของนายจ้าง และดอกผลของเงินสมทบและเงินสะสม โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม
  • ระบบ : กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นระบบสมัครใจ บริหารงานโดยคณะกรรมการสำรองเลี้ยงชีพ ในขณะที่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นระบบบังคับ บริหารงานโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไร

  • กิจการ : กิจการที่ทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ต้องมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ส่วนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ต้องมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คน
  • เงินสมทบของลูกจ้างและนายจ้าง : กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะมีการหักเงินสะสมของลูกจ้าง และนายจ้างจะสมทบให้ในอัตราไม่ต่ำกว่า 2% แต่ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง ส่วนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ลูกจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบ 0.25% และนายจ้างจะจ่ายเงินสมทบอีก 0.25%
  • สิทธิประโยชน์ : กองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์ก็ต่อเมื่อออกจากงาน ออกจากกองทุน ปิดกองทุน เสียชีวิต หรือความเป็นสมาชิกของกองทุนสิ้นสุด โดยที่มีเงื่อนไขตามข้อบังคับของกองทุน เช่น หากลูกจ้างออกจากกองทุนแล้ว ในส่วนเงินสะสมของลูกจ้างและดอกผล ลูกจ้างสามารถรับได้เต็มจำนวน แต่ในส่วนเงินสมทบและดอกผลของนายจ้าง ลูกจ้างจะได้เยอะหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับอายุงานที่อยู่กับบริษัท แต่ในส่วนของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนั้น ลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์เมื่อลูกจ้างไม่มีรายได้ในทุกกรณี และการเสียชีวิต และการรับเงินจากกองทุนนั้น ลูกจ้างจะได้รับทั้งเงินสะสมของลูกจ้าง เงินสมทบของนายจ้าง และดอกผลของเงินสมทบและเงินสะสม โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม
  • ระบบ : กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นระบบสมัครใจ บริหารงานโดยคณะกรรมการสำรองเลี้ยงชีพ ในขณะที่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นระบบบังคับ บริหารงานโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

ตัวอย่างการคำนวณเงินสมทบ-เงินสะสม

  • นายกอไก่ มีเงินเดือน 15,000 บาท ต้องเสียเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเดือนละ 15,000x0.25% = 37.5 บาท นายจ้างสมทบเพิ่มตามกฎหมายอีก 37.5 บาท เงินที่ต้องนำส่งกองทุนคือ 75 บาท
  • นายขอไข่ มีเงินเดือน 20,000 บาท ต้องเสียเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเดือนละ 20,000x0.25% = 50 บาท
    นายจ้างสมทบเพิ่มตามกฎหมายอีก 50 บาท เงินที่ต้องนำส่งกองทุนคือ 100 บาท
  • นางจอจาน เป็นลูกจ้างรายวัน วันละ 500 บาท ในเดือนนั้นนางจอจานทำงาน 25 วัน ต้องเสียเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเดือนละ 500X25X0.25% = 31.25 บาท นายจ้างสมทบเพิ่มตามกฎหมายอีก 31.25 บาทเงินที่ต้องนำส่งกองทุนคือ 62.5 บาท 

นายจ้างต้องทำอะไรบ้าง เมื่อมีการบังคับใช้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

  1. นายจ้างจะต้องยื่นแบบฟอร์มเหล่านี้ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลง
    - สกล.3 (แบบแสดงรายการรายชื่อลูกจ้าง)
    - สกล.3/1 (สำหรับกิจการที่ไม่ได้อยู่ในบังคับ แต่ลูกจ้างต้องการที่จะสมัครเข้ากองทุน)
    - สกล.4 (ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง สำหรับกิจการที่ต้องจัดให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุน) หากมีการเปลี่ยนแปลง
    - สกล.3/2 (แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง)
  2. หักเงิน 0.25% ของค่าจ้างเป็นเงินสะสม
  3. สมทบเงิน 0.25% เป็นค่าจ้างของลูกจ้าง
  4. นำส่งเงินสะสม เงินสมทบ และ สกล.3 ภายในวันที่ 15 หลังจากเดือนที่มีการหักเงินสะสมไว้แล้ว
  5. แจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงชื่อบัญชีธนาคาร เลขที่บัญชี ภายใน 7 วันนับตั้งแต่ที่มีการหักเงินสะสมครั้งแรก

ลูกจ้างต้องทำอะไรบ้าง เมื่อมีการบังคับใช้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

  1. ลูกจ้าต้องเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ในกรณีกิจการของนายจ้างเข้าข่าย แต่หากกิจการของนายจ้างไม่เข้าข่ายบังคับให้เข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แต่ลูกจ้างประสงค์จะเข้าร่วมกองทุน ก็สามารถแจ้งความประสงค์ต่อนายจ้างได้
  2. ลูกจ้างจะถูกหักเงินสะสม 0.25% จากค่าจ้าง
  3. กำหนดบุคคลที่พึงได้เงินสงเคราะห์ กรณีลูกจ้างเสียชีวิต
  4. ลูกจ้างสามารถตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเงินสะสมและเงินสมทบ โดยที่นายจ้างมีหน้าที่จัดทำระบบและแจ้งให้ลูกข้างทราบภายใน 15 วันนับตั้งแต่ที่ลูกจ้างยื่นคำขอ

หากนายจ้างไม่นำส่งเงินสงเคราะห์ จะทำอย่างไร

นายจ้างมีหน้าที่นำเงินสะสมของลูกจ้าง และเงินสมทบของนายจ้าง และแบบแสดงรายชื่อลูกจ้าง (สกล.3) ส่งให้แก่สำนักงานภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสะสมไว้ หากนายจ้างส่งไม่ครบถ้วน ส่งล้าช้า ส่งไม่ครบภายในเวลาที่กำหนด หรือำม่นำส่ง จะต้องถูกปรับ 5% ต่อเดือนของเงินที่ไม่ได้นำส่ง หรือเงินที่ยังขาดอยู่ นับตั้งแต่วันที่ 15 และในกรณีที่นายจ้างไม่นำส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบ หรือนำส่งไม่คนตามกำหนดเวลา พนักงานตรวจแรงงาน จะมีหนังสือเตือนให้มาชำระภายในกำหนดไม่น้อยกว่า 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่หากยังไม่ส่งอีก พนักงานตรวจแรงงานจะสามารถประเมินเงินสะสมและเงินสมทบ และแจ้งเป็นหนังสือให้นายจ้างนำส่งได้

ติดตามเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับ HR และการพัฒนาองค์กรได้ที่
Blog:    www.empeo.com/blog 
Facebook:    www.facebook.com/myempeo
Youtube:   www.youtube.com/empeo


Tags

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง, เงินสมทบ, เงินสะสม


You may also like

>