พนักงานมาสาย หักเงินได้ไหม ทำอย่างไรให้ถูกกฎหมาย

การมาทำงานปัญหามาสายเป็นปัญหาสุดคลาสสิกสำหรับทุกบริษัทที่ทำให้ HR ต้องปวดหัวเสมอ อีกทั้งการมาทำงานสาย ยังสร้างความเสียหายไม่ใช่แค่ต่อตัวพนักงานเพียงอย่างเดียว แต่ส่งผลกระทบต่อทั้งทีมและบริษัท ซึ่งหลายบริษัทก็มีวิธีการจัดการแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหักเงินตามนาทีที่สาย ซึ่งเรื่องนี้มีเหตุที่ต้องระวังไว้ให้มาก เพราะหาก HR ไม่รอบคอบ อาจจะเป็นการสุ่มเสี่ยงกระทำผิดกฎหมายได้เช่นกัน

ทำไมพนักงานถึงมาสาย

แม้จะเป็นเรื่องจริงที่ว่า ไม่มีใครอยากมาทำงานสาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าบางคนมาทำงานสายเป็นประจำ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน เช่น 

  • ตื่นสาย ลืมตั้งนาฬิกาปลุก
  • เมื่อคืนนอนดึก
  • ฝนตก รถติด
  • โรงเรียนเปิดเทอม
  • รถเมล์ที่รอไม่มา
  • ป่วยฉุกเฉิน เช่น ท้องเสีย ปวดหัวไมเกรน ปวดตา ปวดหู เป็นไข้ ปวดประจำเดือน
  • ไปส่งลูกที่โรงเรียน, ไปส่งพ่อแม่ไปโรงพยาบาล
  • เกิดอุบัติเหตุ เช่น ยางรถแตก รถชน รถไฟฟ้าเสีย รถเมล์ยางระเบิด
  • ไม่รู้จริง ๆ ว่ามาสายเพราะอะไร วันนี้ออกจากบ้านเวลาเดิม แต่รถติดมากเลยสาย

กฎหมายแรงงาน เกี่ยวกับการหักมาสาย ว่าอย่างไรบ้าง

กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการหักค่าจ้างนั้นคือ กฎหมายแรงงานมาตรา 76 ที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ห้ามมิให้นายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด” ซึ่งนั่นหมายความว่า หากจะว่ากันไปตามกฎหมายแบบเป๊ะ ๆ แล้ว นายจ้างสามารถลงโทษลูกจ้างที่มาสายด้วยวิธีการอื่นได้ แต่ไม่สามารถลงโทษลูกจ้างที่มาสายด้วยการหักเงิน เพราะจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย

บริษัท สามารถหักเงินแบบใดจากพนักงานได้บ้าง

ในเมื่อกฎหมายได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่สามารถหักเงินค่าจ้างจากลูกจ้างได้ แต่กฎหมายก็ระบุไว้เช่นเดียวกันว่า มีบางกรณีที่นายจ้างสามารถหักเงินจากลูกจ้างได้ คือ

  1. หักเงินลูกจ้างเพื่อชำระภาษีเงินได้ หรือชำระเงินอื่นที่กฎหมายกำหนดไว้
  2. หักเงินลูกจ้างเพื่อชำระค่าบำรุงสหภาพแรงงาน
  3. หักเงินลูกจ้างเพื่อชำระหนี้สหกรณ์ หรือสหกรณ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยต้องได้รับความยินยอมล่วงหน้าจากลูกจ้าง
  4. หักเงินลูกจ้างเพื่อเป็นเงินประกัน หรือชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
  5. หักเงินลูกจ้างเพื่อเงินสะสมตามข้อตกลงเกี่ยวกับกองทุนเงินสะสม

ซึ่งการหักเงินตามข้อ 2 3 4 5 ห้ามไม่ให้หักเงินเกินร้อยละ 10 และจะหักรวมกันได้ไม่เกิน 1 ใน 5 ของเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับ เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง

วิธีคิดหักมาสาย

ในส่วนของวิธีคิดหักเงินมาสาย ขึ้นอยู่กับบริษัท บางที่หักมาสายตั้งแต่นาทีแรก บางที่หักมาสายนาทีที่ 15 หรือนาทีที่ 30 และหลาย ๆ ที่หักมาสายเป็นนาที หรือหักมาสายทีละ 10 นาที หรือหากมาสายเกินนาทีที่กำหนดไว้ ให้นับเป็นขาดงานไปเลย ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของนายจ้างและลูกจ้าง แต่วิธีการคิดมีสูตรดังต่อไปนี้

ค่าจ้าง – (นาทีที่มาสาย x จำนวนเงินหักมาสาย) = เงินที่จะได้รับในเดือนนั้น

วิธีคิดหักมาสายตามนาที

นายกอไก่ได้ค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท บริษัทกำหนดหักเงินมาสายตามนาที นาทีละ 10 บาท ในเดือนนั้นนายกอไก่มาสาย 100 นาที วิธีคิดคือ

15,000 - (10 x 100) = 15,000 – 1,000 = 14,000 บาท

วิธีคิดหักมาสายตามเวลาเข้างาน

บริษัทกำหนดให้พนักงานเข้างาน 08.00-17.00 น. หากพนักงานเข้างานสายนาทีที่ 1-10 หักเงิน 10 บาท หากพนักงานเข้างานสายนาทีที่ 11-20 หัก 20 บาท หากพนักงานเข้างานสายนาทีที่ 21-30 หักเงิน 30 บาท ในวันนั้น นายขอไข่ซึ่งเป็นพนักงานรายวัน รับค่าจ้างวันละ 500 บาท เข้างานเวลา 08.22 น. วิธีการคิดเงินหักมาสายคือ

  1. หาเวลาที่นายขอไข่มาสาย = 08.00 – 08.22 = 22 นาที
  2. นำไปเทียบเข้ากับกฎบริษัทคือ หากพนักงานเข้างานสายนาทีที่ 21-30 หักเงิน 30 บาท เท่ากับว่าวันนั้นนายขอไข่ถูกหักเงิน 30 บาท
  3. 500 – 30 บาท = 470 บาท 

วิธีคิดหักมาสายตามนาที คิดตามฐานเงินเดือน

นายจอจานได้ค่าจ้างเดือนละ 20,000 บาท บริษัทกำหนดหักเงินมาสายตามนาที โดยคิดตามฐานเงินเดือน ในเดือนนั้นนายจอจานมาสาย 100 นาที วิธีคิดคือ

20,000 ÷ 30 (วัน) ÷ 8 (ชั่วโมง) ÷ 60 (นาที) = ค่าแรงนาทีละ 1.39 บาท (ปัดเศษ)
นายจอจานมาสาย 100 นาที คิดเป็นเงิน = 1.39x100 = 139 บาท
สรุปนายจอจาน จะได้รับเงินทั้งหมด 20,000 บาท - 139 บาท = 19,861 บาท

แนวทางการหักเงินเมื่อมาทำงานสาย ทำอย่างไรให้ถูกกฎหมาย

เมื่อกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าจะไม่ให้นายจ้างหักเงินลูกจ้างที่มาทำงานสาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว นายจ้างก็มีวิธีการอื่นที่จะหักเงินมาสายพนักงาน และสามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย ดังนี้

1. ระบุไว้ในสัญญาจ้าง

เรื่องนี้ก็มีช่องให้นายจ้างหักเงินลูกจ้างได้ แม้ในกรณีที่มาสาย จากกฎหมายแรงงานมาตรา 77 ที่ระบุว่า ในกรณีที่นายจ้างได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง หรือมีข้อตกลงการจ่ายเงินตามมาตรา 45 ,มาตรา 55 หรือการหักเงินตามมาตรา 76 และลูกจ้างลงลายมือชื่อในการแสดงความยินยอม หรือมีข้อตกลงกันไว้ชัดเจนเป็นการเฉพาะ นั่นหมายความว่า นายจ้างจะสามารถหักเงินมาสายจากลูกจ้างได้ และหักเงินนาทีละกี่ยาท ก็ต่อเมื่อเมื่อลูกจ้างลงลายมือชื่อแสดงความยินยอมให้หัก ซึ่งโดยส่วนมาก นายจ้างอาจจะกำหนดกฎการหักเงินมาสายไว้ในกฎของบริษัทที่พนักงานต้องปฏิบัติตาม และใส่กฎข้อนี้ไว้ในหนังสือสัญญาจ้าง ให้ลูกจ้างเซ็นรับทราบ

2. ใช้หลัก No work No pay

โดยทั่วไปแล้ว บริษัทมักจะผูกการคิดเงินเดือนเข้ากับชั่วโมงการทำงานของพนักงาน ซึ่งหากบริษัทไม่อยากจะสุ่มเสี่ยงหักเงินมาสาย เพราะกลัวพนักงานไปฟ้องร้อง ก็สามารถใช้หลักการ No work No pay หรือ มาทำงานเท่าไร จ่ายค่าจ้างเท่านั้น ซึ่งเป็นการคำนวณค่าจ้างตามชั่วโมงที่พนักงานมาทำงานจริง ทว่า บริษัทต้องมีการตกลงเป็นสัญญากับพนักงานชัดเจน วางเป็นกฎและมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า พร้อมกับให้พนักงานลงลายมือชื่อ ไม่ควรที่จะอยู่ดี ๆ ก็บังคับใช้กฎนี้กับพนักงานเลย

แนวทางการปฏิบัติ เมื่อพนักงานมาสาย

การแก้ไขนิสัยมาทำงานสาย ของพนักงาน ไม่จำเป็นต้องหักเงินเสมอไป แต่มีวิธีการอื่นที่ทำได้อีก เช่น

เรียกมาคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน

บริษัทสามารถเริ่มจัดการพนักงานที่มาสายด้วยการเรียกมาคุยและตักเตือนกันได้ก่อน เพื่อให้ทราบว่าสาเหตุของการมาสายนั้นเกิดจากอะไร ซึ่งบางเรื่องนั้น อาจจะเป็นอุบัติเหตุแค่ครั้งเดียว (เช่น รถชน ยางรถแตก คนในครอบครัวไม่สบาย) หรืออาจจะเป็นสิ่งที่พนักงานต้องเผชิญเป็นประจำ (เช่น บ้านไกล นั่งรถเมล์หลายต่อ) จากนั้นให้มาหาทางออกร่วมกัน โดยที่ไม่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียผลประโยชน์

กำหนดเวลาเข้างานแบบยืดหยุ่น

ในตอนนี้ หลายบริษัทก็เริ่มที่จะนำวัฒนธรรมการยืดหยุ่นเวลาเข้างาน มาใช้ในองค์กรแล้ว โดยแทนที่จะหักเงินหรือลงโทษพนักงาน ก็กำหนดเวลาที่ยืดหยุ่นให้พนักงานเข้างานสายได้ เช่น บริษัทกำหนดเวลาเข้างานที่ 08.00 น. เลิกงาน 17.00 น. แต่หากพนักงานคนนั้นเข้างานตอนเวลา 08.20 น. ก็ให้ทำงานไปจนถึงเวลา 17.20 น. หรือกระทั่งบางบริษัทไม่กำหนดเวลาเข้าออกงานเลย เพียงแค่ให้พนักงานทำงานให้เสร็จทันเวลาก็พอ

กำหนดให้ Work from Home

ในยุคนี้ที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงทุกบ้าน บางบริษัทอาจจะแก้ไขปัญหาที่พนักงานมาสาย ให้ทำงานที่บ้านไปเลย โดยให้ลงเวลาทำงานผ่านวิธีการที่บริษัทกำหนดไว้ และเมื่อทักหาเมื่อใดต้องตอบแชททันที วิธีนี้พนักงานก็จะไม่มีข้ออ้างอีกในเรื่องการเดินทาง ไม่ต้องเหนื่อยออกจากบ้าน และเริ่มทำงานได้ทันที

สะสมเวลาการทำงาน

ในกรณีนี้เหมาะสำหรับพนักงานที่มีตารางเวลาในการทำงานค่อนข้างยืดหยุ่น ให้พนักงานสะสมเวลาในการทำงานของวันก่อน ๆ ไปทดแทนเวลาที่เคยสายได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทกำหนดเวลาเข้างานที่ 08.00 น. เลิกงาน 17.00 น. แต่วันนั้นพนักงานมาทำงานตั้งแต่ 07.00 น. และเลิกงาน 17.00 น. และวันต่อมา พนักงานคนดังกล่าวมาทำงานเวลา 08.30 น. และเลิกงานเวลา 17.00 น. ดังนั้นพนักงานคนดังกล่าว สามารถสะสมเวลา 1 ชั่วโมงของการทำงานวันก่อน เอาไปทดแทนนาทีที่มาสายในวันอื่น ๆ ของเดือนได้

สร้างแรงจูงใจในการมาทำงานให้ทัน

หลายบริษัทไม่ได้มีนโยบายลงโทษพนักงานที่มาสายโดยตรง แต่กลับสร้างแรงจูงใจให้พนักงานมาทำงานให้ทันเวลา เช่น กำหนดให้หัวหน้างานมาทำงานให้ตรงเวลา เพื่อให้ลูกน้องในทีมเห็นเป็นตัวอย่างและจะได้ปฏิบัติตาม หรือการให้เบี้ยขยันหากมาทำงานตรงเวลาทุกวัน หรือการมอบโบนัส มอบรางวัล หากพบว่าพนักงานคนนั้นมีพฤติกรรมที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

ลงโทษตามขั้นตอน

สิ่งที่บริษัทต้องทำความเข้าใจคือ แม้การมาสายจะไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แต่ก็มีพนักงานบางคนที่มาสายเป็นประจำ จนส่งผลกระทบต่อการทำงาน กรณีเช่นนี้ บริษัทก็สามารถลงโทษและตักเตือนไปตามชั้นตอน ด้วยการที่เรียกพนักงานคนดังกล่าวมาสอบถามสาเหตุ พูดคุยกันด้วยวาจา หรือเปลี่ยนแปลงเวลาการเข้างานให้พนักงานคนนั้นเข้าสายได้ แต่ต้องกลับช้ากว่าพนักงานคนอื่น

แต่หากบริษัทพิจารณาแล้วว่า การมาสายเป็นประจำของพนักงานคนนั้นมีเหตุที่ไม่สมควร บริษัทก็สามารถเรียกมาคุย ออกหนังสือเตือนตามกฎระเบียบของบริษัท และลงโทษตามสมควร แต่บริษัทต้องมั่นใจด้วยว่า การลงโทษนั้นไม่เกินกว่าเหตุ และการมาสายของพนักงานนั้นได้สร้างความเสียหายแก่บริษัทจริง ๆ

ติดตามเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับ HR และการพัฒนาองค์กรได้ที่
Blog:    www.empeo.com/blog 
Facebook:    www.facebook.com/myempeo
Youtube:   www.youtube.com/empeo


Tags

พนักงานมาสาย, มาสาย


You may also like

>